วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์

     ปัจจุบันคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักรคอมพิวเตอร์ใช่ไหมครับ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์วันนี้เราจะมาทำความรู้กับภาษาคอมพิวเตอร์กันนะครับ
     ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการทำงาน
     คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ สามารถออกเป็น5ประเภทได้แก่
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยมีลักษณะเหมือนกับภาษาอังกฤษทั่วไป ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฮาร์แวร์แต่อย่างใด ภาษานี้จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเครื่องเช่นกัน เรียกตัวแปลนี้ว่า คอมไพเลอร์ (compiler)หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)อย่างใดอย่างหนึ่ง ภาษาขั้นสูงที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ได้แก่ 
1)  ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANstation : FORTRAN)
จัด เป็นภาษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ. 2497 โดยบริษัท ไอบีเอ็ม เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณ เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และงานวิจัยต่าง ๆ เนื่องจากแนวคิดในการเขียนโปรแกรมในระยะหลังนี้เปลี่ยนมานิยมการเขียน โปรแกรมแบบโครงสร้างมากขึ้น ลักษณะของคำสั่งภาษาฟอร์แทรนแบบเดิมไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เขียนได้ จึงมีการปรับปรุงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบโครง สร้างขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2509 เรียกว่า FORTRAN 66 และในปี พ.ศ. 2520 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (American National Standard Institute หรือ ANSI) ได้ปรับปรุง FORTRAN 66 และยอมรับให้เป็นภาษาฟอร์แทรนที่เป็นมาตรฐาน เรียกว่า FORTRAN 77 ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวแปลภาษานี้
2)  ภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL)
เป็น ภาษาที่พัฒนาขึ้นในราว พ.ศ. 2502  ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของหน่วยงานธุรกิจและ รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เป็นภาษาโคบอลมาตรฐานในปี พ.ศ. 2517 เป็นภาษาที่เหมาะสมสำหรับงานด้านธุรกิจ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ส่วนมากมีโปรแกรมแปลภาษาโคบอล
3)  ภาษาเบสิก (Beginner’s All – purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
เป็น ภาษาที่ได้รับการคิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) และเผยแพร่เป็นทางการในปี พ.ศ. 2508ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สอนเพื่อใช้สอน เขียนโปรแกรมแทนภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาอื่น เช่น ภาษาฟอร์แทรน ซึ่งมีขนาดใหญ่และต้องใช้หน่วยความจำสูงในการทำงาน ซึ่งไม่เหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่มีขนาดเล็ก เป็นตัวแปลภาษาชนิดที่เรียกว่าอินเทอร์พรีเตอร์
นอก จากนี้    ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเขียน    ซึ่งผู้เขียนจะสามารถนำไปประยุกต์กับการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกสาขาวิชา    ผู้ที่เพิ่งฝึกเขียนโปรแกรมใหม่ ๆ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมมืออาชีพ แต่เป็นเพียงวิศวกรหรือนักวิจัย จะสามารถหัดเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกได้ในเวลาไม่นานนัก ปกติภาษาเบสิกส่วนใหญ่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์
4) ภาษาปาสคาล (Pascal)
ตั้ง ชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขโดยใช้เฟืองหมุน ภาษาปาสคาลคิดขึ้นในปี พ.ศ. 2514 โดยนิคลอส เวียซ (Niklaus Wirth) ศาสตราจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ชาวสวิต ภาษาปาสคาลได้รับการออกแบบให้ใช้ง่ายและมีโครงสร้างที่ดี จึงเหมาะกับการใช้สอนหลักการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันภาษาปาสคาลยังคงได้รับความนิยมใช้ในการเรียนเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์
5)  ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)
ภาษา ซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่พัฒนาขึ้นได้ไม่นาน ภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้า ไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
นอก จากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP) ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ชื่อว่า ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)
6)  ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)
เป็น ภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเบสิก  ใช้ไวยากรณ์บางส่วนของภาษาเบสิกในการเขียนโปรแกรม   แต่มีแนวคิดและวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่แตกต่างจากภาษาเบสิกโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำก็แตกต่างกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาวิชวลเบสิกใช้แนวคิดที่ต่างออกไป
7)  การเขียนโปรแกรมแบบจินตภาพ (Visual Programming)
ภาษา นี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ออกแบบเพื่อเขียนโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้ บนระบบปฏิบัติการแบบจียูไอ เช่น ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ มีการติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้รูปภาพ การเขียนโปรแกรมทำได้ง่ายกว่าการเขียนโปรแกรมแบบเก่ามาก
8)  ภาษาจาวา (Java)
พัฒนา ขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและระบบ ปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
นอก จากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งาน ระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวาก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจากเครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้
9)  ภาษาเดลฟาย (Delphi)
เป็น ภาษาที่ได้รับความนิยมภาษาหนึ่ง แนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาเดลฟายเหมือนกับแนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาวิ ชวลเบสิก คือเป็นการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพ แต่ภาษาพื้นฐานที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมจะเป็นภาษาปาสคาล  ในการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพนี้มีคอมโพเนนต์ (Component) ที่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็นแบบกราฟิก ทำให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามีความน่าสนใจและใช้งานง่ายขึ้น การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเดลฟายจึงเป็นที่นิยมในการนำไปพัฒนาเป็นโปรแกรมใช้ งานมาก รวมทั้งภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะแก่การนำมาใช้สอนเขียนโปรแกรม

  4.  ภาษาระดับสูงมาก 
 เป็น ภาษาโปรแกรมยุคที่ 4 ซึ่งเป็นภาษาระดับสูงมาก จัดเป็นภาษาไร้กระบวนคำสั่ง หมายความว่าผู้ใช้ เพียงบอกแต่ว่าให้คอมพิวเตอร์ทำอะไร โดยไม่ต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าสิ่งนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเป็นภาษาเชิงผลลัพธ์ คือเน้นว่าทำอะไร ไม่ใช่ทำอย่างไร ดังนั้นจึงเป็นภาษาโปรแกรมที่เขียนง่าย
     5. ภาษาธรรมชาติ
 เป็น ภาษาโปรแกรมยุคที่ 5 ซึ่งคล้ายกับภาษาพูดตามธรรมชาติของคน การเขียนโปรแกรมง่ายที่สุด คือการเขียนคำพูดของเราเองว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องใช้คำสั่งงานใดๆ เลย

 ที่มา

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

         ปัจจุบัน Social Network มีอิทธิพลอย่างมากต่อคนในสังคม เพราะ Social Network นั้นเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารต่อคนหมู่ได้อย่างกว้างขว้างโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือการโทร เรามาทำความกับ Social Network กันดีกว่านะครับว่าเจ้า Social Network นั้นคืออะไร



Social Network คืออะไร

         Social Network หรือ ภาษาไทย โซเชียลเน็ตเวิร์ค คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่งเชื่อมต่อกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกเป็นร้อยหรือเป็นพัน ผ่านทางผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook Blogger Twitter Tagged หรือInstagram เป็นต้น การเชื่อมโยงดังกล่าวทำให้เกิดเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ขึ้น  เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์เสมือนจริงที่ตอบสนองกับการสร้างสายสัมพันธ์กับบุคคลที่คุยกันในเรื่องที่สนใจได้อย่างคอ สามารถเชื่อมโยงเพื่อนของเราเข้ากับเพื่อนอีกคนจนทำให้การสร้างสรรค์สังคมใหม่ๆให้กับผู้ใช้งาน และ Social Network สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารภายในองค์กร และภายนอกองค์กรเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน โดยภาพรวม Social Network เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับองค์กรเป็นอย่างดี ผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่จะสามารถสื่อสารกับคนในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องประสบปัญหาการบิดเบือนข้อความ

 

          เราได้ทำความรู้จักกับ Social Network กันไปแล้ว ว่าเจ้า Social Network คืออะไร ต่อไปเรามาทำความรู้จักกับข้อดีและข้อเสียของ Social Networkกันดีกว่า

4-1-1-socialnetwork

ข้อดีและข้อเสียของ Social Network

ข้อดีของ Social Network
1. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันได้
2. เป็นคลังข้อมูลความรู้ เพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
3. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น
4. เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
5. ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
6. ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
7. คลายเครียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ

ข้อเสียของ Social Network
1. เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
2. Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
3. เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
4. ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
5. ผู้ใช้ที่เล่น social network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้
6. ถ้าผู้ใช้หมกมุ่นอยู่กับ social network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้
7. จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์

          เราได้รู้จักข้อดีและข้อเสียของ Social Networkกันไปแล้วมาดูพฤติกรรมการใช้งาน social networkของคนไทยกันดีกว่า

พฤติกรรมการใช้งาน Social Network ของสังคมไทย

         คนไทยส่วนใหญ่จะใช้งาน Social Network ตั้งแต่ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินทาง เข้าไปทำงาน หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ก็ยังเช็ค Social Network อยู่ดี

 day-in-a-life-thai-social-network-00

          Zocialinc บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ Social Network ได้ทำการสำรวจคนไทยกว่า655คน เกี่ยวกับการใช้ Social Network ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน จนจบวัน ได้ข้อมูลที่สำคัญและน่าสนใจดังนี้  คนไทยใช้ Facebook มากถึง 99% , ใช้ LINE 84% , ใช้ Instagram 56% , ใช้ Google+ 41%  และใช้ Twitter 30%

day-in-a-life-thai-social-network-01

          หากแบ่งเป็นอัตราการใช้ Social Network เป็นช่วงกิจกรรมต่างๆในวัน พบว่าคนไทยใช้ Facebook เป็นอันดับ 1 ในทุกๆกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่บนเตียงในช่วงตื่นนอนหรือก่อนนอน เข้าห้องน้ำ เดินทาง ไปทำงาน รอเพื่อน ก็ใช้ facebook กันทุกกิจกรรม  แต่ที่น่าสนใจคือ Social Network ตัวอื่นๆที่เหลือ ที่ผู้ใช้มักเลือกใช้ในช่วงเวลาที่ต่างกันไป ดังนั้นถ้าเราจะสื่อสารอะไรถึงผู้ใช้ ต้องเลือกเข้าให้ถูกช่องทาง และถูกเวลาเพื่อที่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา
http://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/
http://www.krui3.com/content/6847
http://info.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=31&id=18103







วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

DJ Soda

DJ Soda



DJ_Soda_15


               ถ้าพูดถึงดีเจที่กำลังมาแรงมากในขนาดนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักดีเจโซดาหรือฮวางโซฮี ดีเจสาวสวยจากแดนกิมจิ หรือ เกาหลีนั้นเอง ซึ่งเธอนั้นทำงานที่ Octagon club อยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ในกรุงโซล ต้องบอกเลยว่าเป็นดีเจสาวสวย น่ารัก ขาว เอ็กซ์ เซ็กซี่ หุ่นเป๊ะคนหนึ่งเลยที่เดียว และยิ่งตอนเวลาที่ดีเจโซดากำลังเปิดแผ่นมิกซ์เพลงนั้นเธอก็มักจะโยกตามจังหวะเพลงอย่างเซ็กซี่โดนเฉพาะเพลง New Thang


djsodamain


               เมื่อเร็วๆมานี้ภาพบางส่วนของดีเจโซดาก็ได้โผล่ขึ้นมาบนโลก Social มากซึ่งเป็นภาพขณะที่เธอยังอยู่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ บางคนอาจจะมีความคิดว่า เธอนั้นมีใบหน้าที่สวยเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด แต่ที่จริงแล้วเธอทำศัลยกรรมความงามในเกาหลีใต้ ซึ่งแฟนคลับหลายคนบอกเลยว่าไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องแบบนี้เพราะในประเทศเกาหลีนั้น มีคนดังหลายคนที่ทำศัลยกรรมความงามและผมก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับของเธอ


DJ_Soda_14


               เพลงที่ดีเจโซดาเปิดนั้นมีหลายเพลงมากแต่ผมจะยกเอาเพลงโปรดที่ทำให้ผมหลงใหลในการเปิดเพลงและลีลาในการแดนซ์ไปกับเสียงเพลงที่เธอเปิดมาเป็นตัวอย่างให้ดูนะครับ




ที่มา



วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน

     เทคโนโลยีในปัจจุบันมีส่วนช่วยในการทำงานของคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคุยงานผ่านการแชทไลน์ การสั่งซื้อสินค้าต่างๆผ่านทางอินเทอร์เน็ต การโฆษณาสินค้าผ่านทางโทรทัศน์ การดูข่าวจากการดูโทรทัศน์ ล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น




ฉะนั้นเราควรมาทำความรู้จักความหมายของ"เทคโนโลยี"กันดีกว่า
     เทคโนโลยี
คำว่า เทคโนโลยี ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "Technology" ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า "Technologia"ซึ่งมีความหมายว่า      
     การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์มา เป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
     ความสำคัญของเทคโนโลยี
1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา 
     ข้อดีของเทคโนโลยี
1.ลดแรงงานคนในการทำงานต่าง ๆ เช่น ควบคุมการผลิต และช่วยในการคำนวณ
2.เพิ่มความสะดวกสบายตั้งแต่ส่วนบุคคล จนถึงการคมนาคมและสื่อสารทั่วโลก
3.เป็นแหล่งความบันเทิง
4.ได้ผลผลิตที่มีมาตรฐาน เหมือนกันหมดทุกชิ้น ซึ่งเห็นว่าเป็นการลดคุณค่าของชิ้นงาน เพราะ Handmade คืองานชิ้นเดียวในโลก
5.ลดต้นทุนการผลิต
6.ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
7.ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม และ เกิดการกระจายโอกาส
8.ทำให้เกิดสื่อการเรียนการสอนต่างๆมากขึ้น
9.ทำให้เกิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
10.ทำให้เกิดระบบการป้องกันประเทศที่มีประสิทธิภามมากยิ่งขึ้น
11.ในกรณีของอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถเลือกการผ่อนคลายได้ตามอิสระ
     ข้อเสียของเทคโนโลยี
1.สิ้นเปลืองทรัพยากร
2.เปลี่ยนสังคมชาวบ้าน ให้กลายเป็นวัตถุนิยม
3.ทำให้มนุษย์ขาดการออกกำลังกาย
4.ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน เพราะใช้แรงงานเครื่องจักรแทนแรงงานคน
5.ทำให้เสียเวลา ทั้งจากรายการไร้สาระในโทรทัศน์ จนกระทั่งนัก chat
6.หากใช้เว็บไซด์จำพวก Social Network จะทำให้ผู้ใช้มีโลกเป็นของตนเอง ขาดการติดต่อกับผู้อื่น โดยเฉพาะที่เห็นชัดเจนเกิดช่องว่างระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก
    หลังจากได้ทำความรู้จักความหมายของเทคโนโลยี ความสำคัญ ข้อดีและข้อเสียไปแล้ว ก็สามารถนำไปปรับใช้หรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และข้อย้ำว่าไม่ควรใช้ Social Network มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ไม่มีเวลาว่างในการทำงานและอ่านหนังสือได้
ที่มา